บทที่ 1
บทนำ
การวิเคราะห์หาค่า
BOD ในน้ำดี ( Biochemical
Oxygen Demand Test )
ความต้องการออกซิเจนทางชีวภาพ (Biochemical Oxygen
Demand: BOD)
น้ำหลังจากถูกใช้งานจากกิจกรรมของมนุษย์
จะมีสารปนเปื้อนหลายชนิดปะปนอยู่ ได้แก่
สารอินทรีย์และสารอนินทรีย์
พบว่าร้อยละ 70%
ของสารปนเปื้อนของสารจากบ้านเรือนและชุมชนสำนักงาน
สถานประกอบการและโรงงานอุตสาหกรรมจัดเป็นสารอนินทรีย์เช่น คาร์โบไฮเดรต
โปรตีน ไขมันและน้ำมัน พืชผัก
สารลดแรงตึงผิว(สารชะล้าง
ได้แก่สบู่และผงซักฟอก)เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์เพื่อหาปริมาณและชนิดของสารอินทรีย์ในน้ำเสียไม่นิยมแยกมาวิเคราะห์ว่ามีปริมาณคาร์โบไฮเดรต โปรตีน
ไขมันและน้ำมัน
สารลดแรงตึงผิวอยู่เท่าใด
เนื่องจากทำการวิเคราะห์ได้อยาก
ในทางปฏิบัตินั้นจะวิเคราะห์หาปริมาณรวมของสารอินทรีย์ที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำโดยอาศัยหลักการที่ว่าสารอินทรีย์มีผลทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง ดังนั้นจะใช้หาปริมารออกซิเจนที่ต้องการออกซิไดซ์(หรือทำปฏิกิริยา)กับสารอินทรีย์ในน้ำบ่งบอกถึงปริมาณสารอินทรีย์ที่ปะปนอยู่ในน้ำ ค่าปริมาณออกซิเจนที่ใช้เรียกว่า ความต้องการออกซิเจน(Oxygen demand)ในน้ำ
ซึ่งบ่งบอกถึงปริมาณของสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในน้ำ
หรือกล่าวว่าค่าความต้องการออกซิเจนที่ใช้ในการออกซิไดซ์จะแปรตามปริมารของสารอินทรีย์ในน้ำ รูปแบบของค่าความต้องการออกซิเจนที่ใช้ดัชนีที่บ่งบอกถึงปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำ ได้แก่
ความต้องออกซิเจนทางชีวภาพ(Biochemical Oxygen
Demand: BOD)
ความต้องการออกซิเจนทางเคมี(Chemical Oxygen
Demand: COD) ความต้องการออกซิเจนทางทฤษฎี
(Theoretical Oxygen Demand: ThOD)และการหาปริมาณคาร์บอนทั้งหมดของสารอินทรีย์(Total Organic Carbon :TOC)
วัตถุประสงค์หลัก
1.
เพื่อศึกษาปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ย่อยสลายแบคทีเรีย
เพื่อศึกษาปริมาณสารอินทรีย์ปนเปื้อนในน้ำ
บทที่ 2
การปฏิบัติการ
หลักการ
บีโอดี (Biochemical or
Biological Oxygen Demand: BOD)
บอกถึงความต้องการออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำภายใต้สภาวะที่มีออกซิเจน
จากกระบวนการนี้จุลินทรีย์จะได้รับพลังงานเพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโต
ผลผลิตสุดท้ายของการออกซิไดซ์สารอินทรีย์จะได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ค่าบีโอดีของน้ำจะบ่งบอกถึงปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำ
ถ้าค่าบีโอดีสูงแสดงว่ามีสารอินทรีย์ปนเปื้อนอยู่มาก
แต่ถ้าค่าบีโอดีต่ำแสดงว่ามีสารอินทรีย์ปนเปื้อนอยู่น้อย
ดังนั้นการวัดค่าบีโอดีจึงเป็นวิธีทางอ้อมในการตรวจวิเคราะห์หาระดับปริมาณสารอินทรีย์ที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ
ดังภาพที่ 1
ภาพที่ 1
ความต้องการในการใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายคาร์บอน
ของสารอินทรีย์ โดยจุลินทรีย์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ความต้องการออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ดังภาพที่ 2
ภาพที่2
ค่าความต้องการใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายสารอินทรีย์และสารประกอบไนโตรเจนจากสารอินทรีย์
จากภาพที่ 2 ช่วงแรกเป็นการใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายคาร์บอนของสารอินทรีย์ด้วยจุลินทรีย์จำพวกเฮเทอโรโทรฟ(heterotrophy) เรียกช่วงแรกนี้ว่า Carbonaceous Biochemical
Oxygen Demade (CBOD)
ในช่วงนี้สารอินทรีย์จะถูกออกซิไดซ์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ
และแก๊สแอมโมเนีย
สารอินทรีย์ + O2 CO2 + H2O + NH3
ในช่วงถัดมาเป็นการใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายสารประกอบไนโตรเจนจากสารอินทรีย์
เช่น แอมโมเนียและไนไตรต์(NO
) ให้เป็นไนเตรต(NO
) โดยจุลินทรีย์จำพวกออโตโทรฟ(autotroph) เรียกช่วงนี้ว่า Nitrogenous Biochemical
Oxygen Demand (NBOD)
2NH3 + 3O2
2NO
+ 2H+ + 2H2O + 2NO
2NO
+ O2
2NO
ในช่วงนี้ค่า NBOD จะเกิดขึ้นภายหลังจากการบ่มน้ำที่อุณหภูมิ
20 องศาเซลเซียส เป็นเวลาประมาณ 6-10 วัน
เนื่องจากว่าในระยะแรกๆปริมาณไนตริไฟอิงแบคทีเรีย
เจริญเติบโตได้ช้าจึงต้องใช้เวลาที่ต้องเพิ่มจำนวน และภายหลังจากการบ่มเป็นเวลานาน 6-10 วัน
จะมีปริมาณของไนตริไฟอิงแบคทีเรียเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เกิด NBOD
ดังนั้น
ในการวิเคราะห์หาค่าบีโอดี
เพื่อประเมินปริมาณการปนเปื้อนของสารอินทรีย์ในน้ำ โดยการบ่มเป็นเวลานาน 5 วัน ที่อุณหภูมิ
20 องศาเซลเซียส เรียกว่า
การวัดค่าบีโอดีภายใต้สภาวะมาตรฐาน
มีสัญลักษณ์เป็น BOD5 การเลือกอุณหภูมิการบ่มที่ 20 องศาเซลเซียส
เนื่องจากใกล้เคียงกับอุณหภูมิของน้ำทั่วไป(ถ้าที่อุณหภูมิสูงกว่า 20
องศาเซลเซียส
จุลินทรีย์จะเจริญเติบโตเร็ว)และการเลือกใช้เวลาในการบ่มเป็นเวลา 5 วัน เพราะถ้าใช้เวลาน้อยกว่า 5
วัน
ออกซิเจนในปริมาณน้อยถูกใช้ไปในการย่อยสารอินทรีย์และถ้าใช้เป็นเวลามากกว่า
5 วัน
จะมีการใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายโดยไนตริไฟอิงแบคทีเรีย ค่า BOD5 ที่วัดได้นั้นจะมีปริมาณสารอินทรีย์ถูกย่อยสลายไปร้อยละ
80
ณ ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ออกซิเจนละลายในน้ำได้ประมาณ 9 มิลกริกรัมต่อลิตร
ดังนั้นน้ำตัวอย่างที่มีความสกปรกมากจะต้องนำมาทำการเจือจางเพื่อให้อยู่ในระดับที่สมดุลกับปริมาณออกซิเจนที่มีอยู่ หรือ
น้ำตัวอย่างที่มีจุลินทรีย์อยู่น้อย
ไม่สามารถย่อยสลายสารอินทรีย์ที่ปนเปื้อนได้ จึงต้องมีการเติมจุลินทรีย์ เรียกว่า
หัวเชื้อ หรือ น้ำเชื้อ(seeding)
ลงไปในน้ำตัวอย่างเพื่อเพิ่มความสามารถในการย่อยสลายสารอินทรีย์ สรุปได้ว่าน้ำตัวอย่างที่จะนำมาวิเคราะห์หาค่าบีโอดี
จะต้องอยู่ในสภาพที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ปราศจากสารพิษ
มีสารอาหารเพียงพอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น